คงไม่มีใครที่ได้เห็นหาดทับแขกครั้งแรกแล้วไม่รู้สึกว้าว วิวหมู่เกาะห้องน้อยใหญ่ทั้ง 13 เกาะนั้นเรียงรายแบบสวยสับมหัศจรรย์ราวกับถูกพระเจ้าจงใจจัดวาง และ ณ กลางหาดนี้เองก็เป็นที่ตั้งของ “เดอะ ทับแขก กระบี่ บูทีค รีสอร์ท” ที่เพิ่งกลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนไทยได้ไม่นานแม้จะเปิดให้บริการมาเกือบ 20 ปีแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มักจะมีแต่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่รู้จักและอยากจะมาใช้บริการ อาจจะเพราะรีสอร์ทแห่งนี้ติดลิสต์ในหนังสือขายดีอันดับ 1 แห่ง New York Times “1,000 Places To See Before You Die” ที่เขียนโดย Patricia Schultz วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปสำรวจความดีงามของรีสอร์ทบูทีคแห่งนี้กันครับ
The Arrival
สายฝนโปรยปรายลงมาพอให้ชุ่มฉ่ำต้อนรับเราสู่สนามบินกระบี่ พี่คนขับรถของโรงแรมมาชูป้ายรอรับเราอยู่ด้านนอกแล้ว พอเอาสัมภาระขึ้นรถเสร็จพี่คนขับก็เสิร์ฟขนมครอฟเฟิ่ลกับน้ำส้มคั้นสดให้เราเพลิดเพลินในช่วง 45 นาทีระหว่างเดินทางไปยังรีสอร์ท เมื่อมาถึงสิ่งที่เราสังเกตเห็นเป็นอย่างแรกก็คือสถาปัตยกรรมที่แปลกตาเพราะมีการผสานแรงบันดาลใจจากเรือกอและกับเรือนาคาเข้าไปในงานออกแบบด้วย โดยอาคารต่างๆนั้นปลูกสร้างแซมอยู่ในความเขียวขจีของต้นไม้ที่แทบจะไม่ได้ถูกตัดออกไปเลย เพราะเป็นความตั้งใจของทางรีสอร์ทที่จะเก็บรักษาต้นไม้ดั้งเดิมไว้ทั้งหมด
ล็อบบี้ของรีสอร์ทดูอบอุ่นเรียบง่ายด้วยงานไม้ซึ่งเปิดโล่งรับอากาศธรรมชาติที่ไหวเวียนจากรอบด้าน ขั้นตอนการเช็คอินเป็นไปอย่างราบรื่น มีน้ำมะตูมสดชื่นเสิร์ฟให้เป็น Welcome Drink และเนื่องจากเรามาถึงก่อนเวลา วิลล่าริมหาดของเราจึงยังไม่พร้อม พนักงานต้อนรับจึงเสนอพาทัวร์รีสอร์ท และให้ห้อง Deluxe เป็นห้องสำรองให้เราพักผ่อนไปพลางๆก่อน
The Concept
เดอะ ทับแขกฯเปิดให้บริการมาตั้งแต่พ.ศ. 2546 ก่อตั้งโดยคุณวิภาวรรณ เหล่าธนาสิน นักธุรกิจหญิงคนเก่งที่สร้างตัวขึ้นด้วยตัวเอง ด้วยทำเลที่ Boutique Resort แห่งนี้นั้นถูกโอบกอดไปด้วยภูเขาและทะเล ที่นี่จึงโดดเด่นในเรื่องความงดงามของธรรมชาติอันสมบูรณ์ ที่เราเซอร์ไพร้ซ์ก็คือน้ำที่ใช้ในรีสอร์ททั้งหมดนั้นมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติบนเขาหางนาค (หรือบางคนเรียกเขาหงอนนาค) ที่บนยอดเขาหางนาคนั้นมีตาน้ำที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์โดยเชื่อว่าเป็นน้ำตานาค คงเดากันได้ไม่ยากว่าบริเวณนี้นั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคน้ำเค็มมานมนาน และบริเวณที่รีสอร์ทตั้งอยู่ก็ได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในเขตส่วนท้องของพญานาค เพราะใกล้ๆกับตัวรีสอร์ทก็มีตาน้ำที่น่าพิศวงอยู่อีกแห่งซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “สะดือนาค” อยู่ด้วย เดอะ ทับแขก จึงเป็นรีสอร์ทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก เพราะเป็นจุดสมดุลของงานบริการที่ยอดเยี่ยม ธรรมชาติที่สมบูรณ์ไม่เหมือนใคร งานสถาปัตยกรรมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมท้องถิ่น ไปจนถึงความเชื่อในตำนานชาวบ้าน และทั้งหมดก็ถูกห่อหุ้มอยู่ในบรรยากาศที่แสนผ่อนคลาย
Our Room
บนที่ดินอันกว้างขวางของเดอะ ทับแขกฯนั้นมีห้องพักเพียง 59 ห้องเท่านั้น ทุกอาคารสร้างขึ้นโดยการเลี่ยงการตัดต้นไม้ทั้งหมด แม้ตัวรีสอร์ทจะมีอายุเกือบ 20 ปีแล้ว (เปิดให้บริการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546) แต่ก็มีการปรับปรุงบำรุงรักษากันอยู่ตลอด ก่อนจะไปดูห้อง Ocean View Pool Villa ของเรา เราขอพาเพื่อนๆแวะไปชมห้อง Deluxe ที่ทางโรงแรมจัดเป็นห้องสำรองให้เรากันก่อนดีกว่าครับ เผื่อเพื่อนๆจะสนใจจองห้อง Type นี้กัน ไปดูรูปกันเลย
ห้อง Deluxe ที่ทางรีสอร์ทจัดมารับรองเราอยู่ชั้น 2 และได้วิวสระว่ายน้ำ ขนาดห้องกำลังดีครับ มี Outdoor Shower และ Outdoor Bathtub ให้ด้วยนะครับ
Ocean View Pool Villa
ถึงตาห้องจริงๆของเราแล้วครับ นี่คือห้อง Ocean View Pool Villa ที่อยู่ติดหาดเลย ทางเข้าอยู่ด้านข้างนะครับ แต่จะพาเพื่อนๆชมจากทางด้านหน้าซึ่งมีสระส่วนตัวที่เห็นวิวทะเลไปด้วย สามารถเดินทะลุด้านข้างวิลล่าเพื่อไปโซนล้างตัวด้านหลังได้ง่ายๆเลยครับ ถัดเข้ามาเป็นห้องนอน โต๊ะทำงาน มินิบาร์ มีเครื่อง Nespresso ให้ด้วยแล้วก็มีทีวีพร้อม Netflix (ที่เราไม่ได้เปิดดูเลย ฮ่าๆ) ส่วนลำโพงบลูทูธของ Bose ก็เสียงกระหึ่มดีมากครับ
ถัดเข้ามาอีกเป็น Dressing Area ที่กว้างกำลังดี จากนั้นก็เป็นห้องน้ำที่จัดโซนได้ลงตัว มีอ่างล้างหน้าแยก 2 ฝั่ง มีห้อง Toilet ที่ปิดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัวได้ มี Shower ให้ทั้งในห้องและด้านนอก (สำหรับล้างตัวหลังเล่นสระหรือทะเลก่อนเข้ามาในห้อง) และสุดท้ายก็คืออ่างอาบน้ำสีดำสำหรับแช่ตัวกลางแจ้งที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของห้องเลย เราชอบตรงที่ถ้าเปิดประตูกั้น พื้นที่ทั้งหมดก็จะถูกเชื่อมให้เป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่สระว่ายน้ำหน้าวิลล่าไปจนถึงอ่างอาบน้ำด้านหลังเลยครับ
The Arundina
ห้องอาหารไทยแบบ All-Day Dining ของเดอะ ทับแขกฯนั้นมีชื่อว่า The Arundina ซึ่งอยู่หน้าหาด อาหารทุกมื้อจะเสิร์ฟที่นี่ตั้งแต่มื้อเช้า กลางวัน และค่ำ รวมถึงเครื่องดื่มระหว่างวันด้วย (น้ำมะม่วงเบาปั่นนั้นเด็ดนักแล) ที่นี่จึงเป็นจุดศูนย์รวมความมีชีวิตชีวาของรีสอร์ทไปโดยปริยายซึ่งเราชอบในความสะดวก เรียบง่ายแบบนี้ และการที่ได้แวะมาบ่อยๆก็ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับ The Arundina มากกว่าห้องอาหารของรีสอร์ททั่วไป
เมนูอาหารของ The Arundina นั้นทั้งเมนูที่เชฟของรีสอร์ทรังสรรค์ขึ้น และมีเมนูพิเศษที่ออกแบบโดยเชฟ David Thompson เชฟอาหารไทยคนแรกที่ได้รับดาวมิชลินซึ่งทำให้ร้านดูมีความน่าสนใจขึ้นมากและรสชาติก็ดีสมรางวัล แต่ในความเห็นของเรา เรากลับรู้สึกชอบอาหารเมนูพื้นบ้านฝีมือเชฟของรีสอร์ทมากกว่าเสียอีกแฮะ ข้อดีมากๆอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือวัตถุดิบหลายๆอย่างโดยเฉพาะพืชผัก ทางรีสอร์ทปลูกเองแทบทั้งหมดเลย จึงมั่นใจได้ในเรื่องของความสดและความปลอดสารพิษ
The Beach
อยากลงหาดแล้วล่ะครับ แต่เราลืมพกครีมกันแดดทาตัวมาด้วย เลยจะแวะเข้าไปดูที่ L’Artisan Gift Shop กันซักนิด และก็ได้ Kakadu Plum Sunscreen จาก We Are Feel Good Inc. ของออสเตรเลียมาขวดนึง กลิ่นหอมธรรมชาติอ่อนๆถูกใจมากเลยครับ
จริงๆแค่เดินเล่นดูวิวที่สวยมหัศจรรย์ของหาดทับแขกก็เพลินมากๆแล้ว และด้วยน้ำที่ค่อนข้างนิ่ง (เพราะมีหมู่เกาะห้องคอยบังลมให้) ทำให้เราสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ ใครอยากทำกิจกรรมก็มี Paddle Board และเรือ Kayak แบบใสเอาไว้ให้บริการฟรีพร้อมเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลด้วย ถ้าอยากอาบแดดก็จับจองเตียงริมหาดกันได้ตามสบายเลย
Sunset Picnic On The Beach
หาดทับแขกนั้นหันไปทางทิศตะวันตก หมายความว่าตอนเย็นๆแสงตะวันตอนตกน้ำนั้นจะสวยเป็นพิเศษ และทางรีสอร์ทก็มีบริการพิเศษจัดเป็นซุ้มปิ๊กนิกบนหาดที่เราสามารถอิ่มเอมไปกับของว่างอร่อยๆและวิวสวยๆได้พร้อมๆกัน และที่นี่ไม่ได้มาเล่นๆนะครับ แต่เค้าจัดเต็มมีเทียนและคบเพลิงปักรอบซุ้มผ้าซีทรูสีขาวที่โบกพลิ้วไปตามลม ใครสนใจเซ็ตนี้สอบถามเพิ่มเติมกับทางรีสอร์ทได้โดยตรงเลยครับ
Romantic Dinner
เราจองดินเนอร์อาหารไทยบนหาดต่อกันเลยครับ และทางรีสอร์ทก็จัดโต๊ะและประดับไฟไว้ให้อย่างสวยงามที่ใต้ต้นไม้ แต่บังเอิญวันนี้ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ ทำให้เราต้องย้ายขึ้นไปรับประทานดินเนอร์กันบนดาดฟ้าชั้นสองของ The Arundina และการประดับไฟต่างๆไม่ได้น้อยไปกว่าที่หาดเลยครับ เราได้ทั้งดาดฟ้าเป็นของเรา และบังเอิญวันนี้มีวงดนตรีมาเล่นสดอยู่ด้านล่างพอดี เสียงเพลงที่ลอยขึ้นมาวอลลุ่มกำลังดีเลยครับ ส่วนอาหารเป็นผลงานที่รังสรรค์โดยเชฟอาหารไทยดาวมิชลินอย่าง David Thompson หน้ากินขนาดไหนให้รูปเล่าเรื่องก็แล้วกันครับ เริ่มตั้งแต่ไข่พะโล้ แกงส้มกะพงออดิบ กุ้งลายเสือย่างกับน้ำบูดู ผัดสามเหม็น อร่อยมากครับ โดยเฉพาะสาคูราดกะทิของหวานที่อร่อยนุ่มลิ้นดีเหลือเกิน แต่สิ่งที่เราขอชื่นชมยิ่งกว่าอาหารก็คือบริการที่ใส่ใจสุดๆจากคุณหนานที่คอยเทคแคร์เราตลอดมื้อ ขอปรบมือรัวๆครับ
Back To Our Villa
อิ่มหนำสำราญแล้ว ฝนก็หยุดแล้วเช่นกัน เราก็เดินกลับวิลล่ามาพบกับห้องที่ Turn Down เรียบร้อย เราไม่รีรอที่จะเปิดน้ำเติมลงอ่างกลางแจ้งเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศให้เต็มที่ เผื่อพรุ่งนี้ฝนตกจะได้ไม่ขาดทุน แต่ก็แช่นานมากไม่ได้ครับ เพราะพรุ่งนี้เช้าเรามีจองเรือไปเที่ยวหมู่เกาะห้องกันด้วย ต้องรีบนอนเอาแรงไว้ก่อน งั้นคืนนี้กู้ดไน้ท์เลยละกันครับ
Breakfast
อรุณสวัสดิ์จาก The Arundina ครับ เช้านี้เรามาตุนพลังก่อนไปเที่ยวเกาะด้วยบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่หลากหลาย และอร่อยง่ายๆไม่ซับซ้อน ซึ่งบางรายการก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆในแต่ละวัน เมนูเด็ดที่เห็นสั่งกันแทบทุกโต๊ะก็คือโรตีกรอบนอกนุ่มใน จะใส่ไข่ด้วยก็สั่งได้เลยครับ จุดเด่นอีกอย่างของ The Arundina ทีมเชฟของทางรีสอร์ทพยายามที่จะทำเองแทบจะทุกอย่าง ตั้งแต่การปลูกผักผลไม้ กวนแยม แป้งโรตี ไปจนถึงเบเกอรี่หลายรายการในบุฟเฟ่ต์ คุณหนานคนเดิมจองโต๊ะริมหาดไว้ให้เราเลย ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
Island Excursion
ได้เวลาไปเที่ยวเกาะกันแล้วครับ หมู่เกาะห้องประกอบไปด้วย 13 เกาะย่อยๆ แต่วันนี้เราจะแวะไป 4 จุดครับ น่าจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมง เราเห็นคุณหนานเตรียมเนื้อเค็มกับข้าวผัดปูที่เราสั่งเอาไว้เป็นเซ็ตปิ๊กนิกบนเรือ พร้อมกับเครื่องดื่มและผ้าเช็ดตัวไปรอเราไว้เรียบร้อย เมื่อพร้อมแล้วพี่กัปตันคนเก่งของเราก็ออกเรือ นั่งตากลม-นอนอาบแดดเพลินๆพร้อมหามุมถ่ายรูปกันยังไม่ทันไร รู้ตัวอีกทีก็มาถึงสต็อปแรกกันแล้ว นั่นก็คือจุดชมวิว 360 องศาหนึ่งเดียวแห่งทะเลอันดามันที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานครับ
Hong Island View Point
การที่จะไปถึงจุดชมวิวนั้นต้องออกแรงกันเยอะหน่อย แนะนำให้เตรียมรองเท้าที่ใส่กระชับเดินสะดวก พกหมวกและน้ำดื่มติดมาด้วย จากท่าเทียบเรือเราต้องเดินเลาะหาดเพื่อไปขึ้นบันได 419 ขั้นที่ไต่ลัดเลาะขึ้นไปตามผาหิน เราเองก็หอบแฮ่กๆอยู่เป็นระยะ และเสื้อก็เปียกปอนไปด้วยเหงื่อ โชคดีที่กินเบรคฟัสต์ตุนพลังมาดี วิวข้างบนก็จะสวยงามประมาณนี้ครับ
ใครที่เป็นสาย Snorkel ที่เกาะห้องก็มีปลาและปะการังสวยๆให้ดำดูเยอะอยู่นะครับ แต่เราไม่ได้เตรียมตัวมาก็เลยขอไปลงเล่นน้ำที่เกาะห้องลากูนแทนก็แล้วกัน ตัวลากูนนั้นเป็นอ่าวปิดที่มีทางเข้าเปิดอยู่แคบๆทำให้มีลักษณะเหมือนห้องขนาดใหญ่ที่น้ำนิ่งและตื้น พี่กัปตันเล่าว่าบางช่วงน้ำลงตรงนี้ก็จะแห้งเหือดไปเลย แต่วันนี้มีน้ำ เราจึงได้ลงเล่นกันพอสนุกสนานกันพักใหญ่ พอขึ้นมาบนเรือก็พบกับเซอร์ไพร้ซ์จากพี่กัปตันเป็นแตงโมหั่นเรียงเป็นรูปเต่าน่ารักมากครับ 5555 จากนั้นพี่กัปตันก็จอดเรือที่ทางออกลากูนเพื่อให้เราได้กินอาหารว่างที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้
Koh Lao Lading
จุดหมายต่อไปก็คือเกาะลาดิง ซึ่งเป็นเกาะที่พักของกลุ่มสัมปทานรังนก ที่นี่ทรายขาวน้ำสวยใสน่าลงเล่น เราก็เลยต้องจัดซักหน่อยครับ แต่พอเรือลำอื่นเริ่มพานักท่องเที่ยวมาเยอะ เราก็เลยหลบไปจุดสต็อปสุดท้ายของวันนี้กันดีกว่า ก็คือเกาะผักเบี้ยนั่นเอง
เกาะผักเบี้ย
เกาะผักเบี้ยเป็นเกาะเล็กๆที่มีทะเลแหวกขนาดมินิให้เราได้ถ่ายรูปกัน และยังมีหินทรงแปลกที่โดนน้ำกัดเซาะจนเป็นเหมือนอุโมงค์ เราถ่ายรูป และเล่นกับฝุงปลาตัวน้อยๆที่ริมหาดกันพักใหญ่ ก็รู้สึกเต็มอิ่มกับเกาะห้องแล้ว จึงขอให้พี่กัปตันช่วยพากลับไปกินมื้อเที่ยงที่รีสอร์ท
Lunch
มื้อเที่ยงของเราวันนี้เป็นขนมจีน น้ำยาปูและแกงไตปลา เสิร์ฟพร้อมกับส้มตำ ไก่ทอด ไข่ต้มและผักแนมชุดใหญ่ ขนมจีนว่าอร่อย เนื้อปูหวานๆแน่นๆแล้ว ส้มตำไก่ทอดก็รสชาติดีได้ใจเราไปไม่แพ้กันเลย ตบท้ายด้วยไอศกรีมทุเรียนที่เข้มข้นเหมือนเอาเนื้อทุเรียนทั้งชิ้นไปแช่แข็งมาให้เรากิน
L’Escape Spa
บ่ายนี้เรามีนัดที่ L’Escape Spa ที่เราเห็นโดดเด่นมาตั้งแต่ตอนเช็คอิน เพราะอาคารปล่องทรงหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ดูน่าพิศวง และวันนี้เราจะไปนวดไทยในนั้นกันครับ ต้องบอกว่าบรรยากาศด้านในนั้นสว่างกว่าที่คิดและให้ความรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก และพี่ๆ Therapist ก็นวดดีกันมากเลยครับ และราคาก็โอเคด้วย ใครมีโอกาสเข้าพักที่นี่ เราแนะนำให้มาลองนวดที่ L’Escape Spa กันนะครับ
Let’s Go Biking
จริงๆแล้วที่เดอะ ทับแขกฯนั้นมีกิจกรรมให้ทำเยอะมากเลยครับ ทั้งไปเกาะ เดินป่า ต่อยมวย โยคะ ทำอาหาร ฯลฯ แต่ตอนนี้เราขอไปปั่นจักรยานเพลินๆก็แล้วกันครับ ไม่ไกลจากรีสอร์ทเป็นอุทยานแห่งชาติเขาหงอนนาคซึ่งเราสามารถขี่จักรยานเข้าไปได้จนถึงที่จอดรถ ปกติแล้วถ้าใครจะไปต่อก็ต้องซื้อตั๋วและเดินป่าเข้าไป แต่เราขี่เข้ามาชมความร่มรื่นถึงแค่ทางเข้าเฉยๆแล้วก็ปั่นกลับออกไปทางชุมชน เส้นทางขี่ง่ายไม่อันตรายแต่ก็ต้องระมัดระวังนะครับ เพราะบางช่วงอาจมีเนินและทางโค้ง รวมถึงบางจังหวะรถอาจจะเยอะสักหน่อย
Afternoon Tea
ช่วงบ่ายๆใครเกิดหิวขึ้นมา ก็บอกให้ทางรีสอร์ทจัดเซ็ตน้ำชายามบ่ายมาจุบจิบกันได้ครับ ที่เดอะ ทับแขกฯจะเสิร์ฟของว่างสไตล์ไทยกับผลไม้ ยกเว้นขนมครอฟเฟิ่ลซิกเนเจอร์ที่จะออกแนวฝรั่งเล็กน้อย สิ่งที่เราประทับใจยิ่งกว่าตัว Afternoon Tea ก็คือการบริการของพี่นะ พนักงานอาวุโสของทางรีสอร์ทที่ดูแลเอาใจใส่ราวกับญาติเลยครับ พอดีเรามีอุบัติเหตุเล็กน้อยทำให้ได้แผลมาก่อนหน้านั้น เมื่อพี่นะทราบก็จัดทั้งยา ผ้าพันแผล และน้ำแข็งมาประคบให้ ต้องบอกว่าเราซาบซึ้งและประทับใจมากจริงๆครับ
Other Facilities
นอกจากห้องพักที่สุขสบายแล้ว ที่นี่ยังมีพื้นที่อื่นๆไว้ให้บริการอีกหลายจุดเลยครับ ตั้งแต่สระว่ายน้ำหลัก ศาลาพักร้อน ร้านขายของฝาก ห้องประชุม ห้องสมุด และมียิมให้เราได้ออกกำลังกายกันด้วย ไปชมมุมอื่นๆของรีสอร์ทกันครับ
Italian Dinner On The Beach
ในที่สุดเย็นนี้ท้องฟ้าก็เริ่มเปิด เราจึงขอให้ทางรีสอร์ทจัด Dinner On The Beach อีกสักครั้ง คราวนี้เป็นอาหาร Italian จาก Di Mare ห้องอาหารอีกแห่งของทางรีสอร์ท ซึ่งเราแอบโดนกระซิบจากกูรูอาหารท่านหนึ่งมาว่าอาหารอิตาเลียนของที่นี่นั้นดีงามมาก ก่อนกลับก็เลยต้องจัดให้ได้ครับ ต้องบอกว่าทั้งอาหารและบรรยากาศยอดเยี่ยมมากๆ เมนูของ Di Mare นั้นเสิร์ฟอาหารอิตาเลียนที่เรียบง่ายสไตล์ Trattoria แต่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบคุณภาพทั้งจากทะเลอันดามันที่อยู่ตรงหน้า และจากสวนผักของรีสอร์ทเอง ทำให้รสชาติดีงามทุกจานเลยครับ ตั้งแต่ Appetizer สลัด ปลา พาสต้า พิซซ่า และรีซ็อตโต้ทรัฟเฟิ่ลกุ้งลายเสือที่เราชอบมากเป็นพิเศษ ยิ่งได้ทะเลและท้องฟ้าหลากสีเป็นฉากหลัง ยิ่งทำให้มื้อนี้น่าจดจำยิ่งขึ้นไปอีก
Wrapping Up Our Stay
ก่อนเข้าพัก สิ่งที่เราได้ยินมาเกี่ยวกับเดอะ ทับแขก กระบี่ บูทีค รีสอร์ท ก็คือวิวทะเลแสนสวยและอาหารเลิศรส แต่พอได้มาเยือน เรากลับรู้สึกถึงเสน่ห์ที่ล้ำลึกยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความขลังของตำนานพญานาคน้ำเค็ม ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ไปจนถึงความใส่ใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆของทีมงาน ตั้งแต่เรื่องการปลูกพืชผักผลไม้ และทำ Condiments หลายๆอย่างขึ้นมาเอง จนกระทั่งการบริการที่จริงใจเกินความคาดหมาย ทำให้เรารู้สึกประทับใจในการเข้าพักในครั้งนี้และอยากจะกลับมาอีกครั้งเมื่อมีโอกาส หากเพื่อนๆกำลังมองหาที่พักคุณภาพดีในบรรยากาศสบายๆที่ใกล้ชิดธรรมชาติทั้งภูเขาและทะเลที่งดงามระดับโลก เดอะ ทับแขกฯก็น่าจะตอบโจทย์นั้นได้ไม่ยากเลยครับ
#LetsHoparound #TheTubkaakKrabi #Krabi